ปีที่แล้วซึ่งเรายังเป็นสื่อเสาวรส เราได้ทำความรู้จักหมู่บ้านศิลปินที่เปิดรับศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานจากทั่วทุกมุมโลกในชื่อ Studio 88 Artist Residency ที่หัวข้อในแต่ละครั้งก็ครอบคลุมทุกประเด็นทางสังคมตั้งแต่เรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม สังคม ไปจนถึงสุขภาพใจและจิตวิญญาณ
เราทราบข่าวอีกครั้งถึงโครงการศิลปินในพำนักในชื่อ Evolving Identities ซึ่งต่อยอดมาจากธีมที่ว่าด้วยเรื่องเพศอย่าง Gender Fluid ที่คราวนี้เป็นการสำรวจตัวตนและอัตลักษณ์ที่แตกต่างหลากหลาย ที่เกิดขึ้นทั้งอัตลักษณ์จริง อัตลักษณ์ในจินตนาการ อัตลักษณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง ไปจนถึงอัตลักษณ์ทับซ้อน
ซึ่งตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ศิลปินทั้งหมดต่างได้สำรวจตรวจสอบอัตลักษณ์เหล่านั้น รวมถึงการค้นหาตัวเองผ่านการอยู่ร่วมกับศิลปิน ภัณฑารักษ์ ผู้จัดการหมู่บ้านศิลปิน และผู้คนล้อมรอบ จนกลายเป็นชิ้นงานศิลปะในหลากหลายรูปแบบที่ต่างสะท้อนจินตนาการ และผลลัพธ์การค้นหาตัวตนของศิลปินเหล่านั้น
นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับศิลปินรับเชิญที่มีผลงานในมือซึ่งสอดคล้องกับการค้นหาอัตลักษณ์และตัวตนของพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่งๆ นำมาจัดแสดงภายในนิทรรศการที่ชื่อว่า Identity of Monograph ที่ยังจัดแสดงอย่างต่อเนื่องจนถึง 10 สิงหาคมนี้
เราได้รับเทียบเชิญจากพี่อ้อม-ศศิวิมล วงศ์จรินทร์ ผู้จัดการหมู่บ้านศิลปินอีกครั้ง เพื่อมาสำรวจแรงบันดาลใจของการทำหมู่บ้านศิลปินในครั้งนี้ รวมถึงเบื้องหลังการผลิตชิ้นงานจาก 5 ศิลปิน 6 คนคือ ดร.ชัยวัฒน์ โล่โชตินันท์, Radha Bhatnagar, รัฐ ชุนหรักษ์โชติ, Pattarine Fontaine, วัลลภ หาญสันเทียะ และอ๊อด-สุธีรา ฝั้นแก้ว ที่สละเวลามาเล่าเรื่องของพวกเขาให้เราฟัง
เหมือนเดิม ไม่ต้องใช้เครื่องมือทางศิลปะอะไรเข้าสู่หมู่บ้านนี้
ขอเชิญร่วมค้นหาตัวตนผลงานศิลปะไปพร้อมๆ กับเราได้เลย

ศศิวิมล วงศ์จรินทร์
Art for Social Issues

ก่อนเราจะเริ่มออกเดินทาง พี่อ้อมทบทวนเส้นทางตลอดหนึ่งปีที่เราไม่ได้เจอกันว่า ผลงานสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านศิลปินแห่งนี้ถูกนำเสนอผ่านธีมที่แตกต่างหลากหลาย อาทิ Reviving Nature ที่สื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน หรือโครงการเฟสต่อไปอย่าง SoulScapes: The Healing Arts Residency ที่มีฟังก์ชั่นในการ “ฮีลใจ” คนทำงานผ่านการบำบัดด้วยศิลปะ ไปจนถึงการให้คำแนะนำด้านการเพิ่มทักษะคนทำงานศิลปะ ทั้งการเป็นคิวเรเตอร์ การเขียนขอทุนผลิตผลงานศิลปะ และการสนับสนุนคนทำงานศิลปะผ่านการสร้างเครือข่ายกับองค์กร NY20+ ที่เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านการส่งศิลปินในประเทศไทยไปพำนักอยู่ที่นั่น
เราเลยชวนพี่อ้อมขยายความคอนเซปต์ Evolving Identity ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหมู่บ้านศิลปินในครั้งนี้ว่า มันคือการต่อยอดที่ชักชวนศิลปินมาสำรวจอัตลักษณ์ต่างๆ ของตัวเอง ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อชีวิตซึ่งสามารถข้ามการจำกัดความ การนิยามใดๆ ผ่านวิธีการใดก็ได้ โดยใจความสำคัญของมันคือ การเยียวยาหัวใจของศิลปินจากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ที่จะสอดคล้องกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับศิลปินในการผลิตผลงานของตน


“ด้วยสภาพสิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ การเมืองต่างๆ มันทำให้อัตลักษณ์ของเราถูกหล่อหลอม หรือมีความคาดหวังบางอย่าง แล้วอยากจะเป็น อยากจะมี หรืออยากจะให้คนอื่นเห็น เราก็เลยทำโฟกัสที่ธีม Evolving Identity ที่สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่ข้ามขอบเขตคำจำกัดความพวกนี้ ซึ่งมันเกี่ยวกับการทำงานที่อาจจะกลับถึงงานที่ส่วนตัวมากๆ หรือการอยู่กับตัวเองเพราะเรารู้สึกว่าพื้นที่เหล่านี้ที่เป็นพื้นที่ฮีลใจมันหายไป
“ที่สำคัญซึ่งเราสนใจมากๆ เพราะเราเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ พื้นที่ให้ศิลปินมาอยู่ เราก็เลยสนใจเรื่องหน้าที่บทบาทหน้าที่ของศิลปินในมุมนี้ ว่าเขาใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างตัวตนเหล่านี้หรือว่านำเสนอสิ่งที่เขาสนใจออกมาผ่านตัวตนของเขาในงาน จึงเป็นที่มาของคำถามว่า บทบาทของศิลปินมีส่วนอย่างไรกับกระบวนการสร้างงานที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นใจความหลักของการสร้างโครงการ Artist in Residency ครั้งนี้” พี่อ้อมเล่า
ดร.ชัยวัฒน์ โล่โชตินันท์
Diaspora of Time

เราขอพามาทำความรู้จักกับศิลปินคนแรก พี่ชัยจบปริญญาเอกจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยบทบาทแรกคือ ศิลปินที่นำผลงานมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ทั้งหมด 3 ชิ้น ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวพันกับการพลัดถิ่นเพื่อไปสู่ตัวตนที่แท้จริง รวมถึงการเป็นที่ปรึกษาสำหรับผลงานที่ศิลปินทำร่วมกัน
“ผลงานที่ผมจัดแสดงมี 3 ชิ้นหลักๆ ชิ้นแรกคือ Collective Pain คือการเล่าถึงความทุกข์ใจที่เรามีร่วมกัน และเราแชร์ความทุกข์ด้วยกัน ชิ้นที่สองชื่อ Wing เป็นเรื่องของปีกของคนที่เมื่อรู้ว่าตัวเองจะเข้าไปสู่ปัญหา หรือจะเข้าไปสู่สิ่งที่เป็นพิบัติของชีวิต เขาจะมีสัญชาตญาณที่จะสร้างปีกเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อเวลาที่ว่าเขาตกจากที่สูงหรือภยันตรายต่างๆ ปีกจะช่วยป้องกันเขาไม่ให้เขาเจ็บถึงขั้นเสียชีวิต แต่เขาสามารถลุกขึ้นมาสู้กับชีวิตได้ใหม่


ชิ้นสุดท้ายชื่อว่าวัชระ เป็นงานที่นำเสนอคำคมของนักสู้ชีวิตที่จะพูดกับตัวเองว่า เขาจะต้องมีเครื่องมือที่แข็งแกร่งดั่งเพชร หรือว่าสายฟ้าฟาด คำต่างๆ เป็นความหมายของวัชระตามพุทธศาสนานิกายมหายานที่จะใช้ในการตัดอวิชชาคือ ความโง่เขลาของมนุษย์เอง เขลาในสิ่งต่างๆ ไม่รู้เท่าทันเรื่องชีวิตต่างๆ”
ส่วนบทบาทที่สองที่มีความสำคัญมากๆ ในโครงการศิลปินในพำนักครั้งนี้คือ การเป็นเมนเทอร์หรือที่ปรึกษาให้กับศิลปินในหมู่บ้านเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่พวกเขาทำร่วมกัน โดยพี่ชัยได้มีโอกาสดูแลการร่วมงานของ Radha Bhatnagar และ Rath Chun หรือบอส-รัฐ ชุนหรักษ์โชติ ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานวิดีโอ Live Performance ร่วมกัน
“ผมเจอราธาครั้งแรก เธอเอากวีที่เธอเขียนไว้ให้ผมอ่าน เป็นประสบการณ์ในห้องนวดที่มีความรู้สึกต่างๆ ผมว่าตรงนี้เป็นจุดเริ่มของชิ้นงานเลย เพราะฉะนั้นก็เริ่มจะมีการทดลองตัวการแสดงกัน แล้วก็ให้น้องบอสถ่ายวิดีโอเป็น Live Performance ขึ้นจอ โดยให้บอสเป็นผู้สังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันราธาก็เอาความรู้สึกจากบทกวีถ่ายทอดออกไป โดยผมตั้งเป้าหมายว่า อยากให้มันเป็น Performance และเป็น Video Art ด้วย เพราะว่าผมเองก็รู้ว่าเวลาทำ Performance มันทำได้ครั้งเดียวแล้วจบไปเลย ในขณะเดียวกันผมอยากจะให้ทั้งสองคนในฐานะศิลปินได้มีผลงานกลับไปด้วย” พี่ชัยเล่า

ด้วยแรงบันดาลใจจากกวี และมีผู้สังเกตการณ์ที่ต่างเข้าใจความต้องการของกันและกันอยู่ในกระบวนการณ์ โดยมีฉากหลังเป็นทิวทัศน์และธรรมชาติไม่ไกลจากสตูดิโอ 88 ในอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ศิลปินเลือกถ่ายภาพเคลื่อนไหวในท้องทุ่ง เคล้าความรู้สึกของกวีสาวคนหนึ่ง จนกลายเป็นงาน Video Art ที่พี่ชัยได้ให้คำปรึกษาในการพัฒนาผลงานของทั้งคู่ ซึ่งจุดร่วมที่พี่ชัยเห็นจากการร่วมงานครั้งนี้คือ ตัวตนที่เป็นธรรมชาติของคนหนุ่มสาว
“ผมเห็นข้างในลึกๆ ว่าจริงๆ ศิลปินที่ผมทำงานด้วยยังอยู่ในวัยค้นหา แสวงหาตัวตนของตัวเอง แล้วก็แต่ละคนก็มีปัญหา ปัญหารอบด้านต่างๆ กันเราไม่ได้ตัดสินว่าเป็นอะไร แต่มันมีปัญหาของแต่ละคนที่เขารู้สึกว่าใหญ่ในตัวเขาเอง แล้วเขาก็อยากจะก้าวข้าม การก้าวข้ามของเขาคือ การที่ได้มาเจอ ปฏิสัมพันธ์ เรียนรู้ปัญหาซึ่งกันและกัน ก็จะคล้ายๆ กับงานของผมที่พูดถึง Collective Pain ไอเดียคือเวลาคนเรามีความทุกข์อะไร ก็จะทุกข์อยู่กับตัวเองเลย แต่เมื่อไหร่ที่เราได้เจอกันกับทุกๆ คน มาแชร์ความทุกข์กัน เราจะทำให้ความทุกข์มันกลายเป็นพลังในการก้าวข้ามความทุกข์นั้นแล้วเป็นความสุขร่วมกัน” พี่ชัยสรุป

Radha Bhatnagar
รัฐ ชุนหรักษ์โชติ
Another Source of Intimacy

หนึ่งในศิลปินที่ได้รับคำแนะนำจากพี่ชัยในการสร้างสรรค์งานชิ้นสำคัญนี้คือ ราธา กวีสาวชาวอินเดีย-อเมริกัน วัย 28 ปี ที่ประกอบอาชีพในสายงานสาธารณสุขก่อนจะปลีกเวลามาค้นหาตัวเองผ่านการสมัครเป็นศิลปินในพำนักที่ดินแดนนครพิงค์
อย่างที่เราเข้าใจกันว่า คนทำงานสายสุขภาพกับเรื่องราวทางศิลปะดูจะเป็นเรื่องที่ไปด้วยกันไม่ได้ แต่ราธาบอกเราว่า ศิลปะที่เธอยึดโยงและผูกพันกับมันมาตั้งแต่เด็กคือ กวี
“ฉันรักการวาดรูป การเขียนกลอน การเล่าเรื่องตั้งแต่เด็ก แต่มันก็มีช่วงชีวิตหนึ่งที่ฉันอยู่ในเวลาที่มืดมน ยากลำบาก ศิลปะมันช่วยชีวิตฉัน ซึ่งฉันค้นพบว่าการลงมือเขียนกวีหรือทำงานศิลปะสักชิ้น ฉันบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันไหลไปได้ยังไง แต่อารมณ์ ความรู้สึก มันดิบ มันสด และมันมาจากหัวใจและจิตวิญญาณของฉันเอง” ราธาเล่าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
ราธามาอยู่ที่นี่ได้เกือบสองเดือนแล้ว กวีของเธอมีความอิสระและหลากหลายเกินกว่าที่เราจะคาดเดา ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ การปลูกข้าว ประสบการณ์ในห้องนวดไทย ไปจนถึงเมรุเผาศพ! ซึ่งประสบการณ์ที่เธอพบพานซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานทั้งหลาย ทำให้ราธานิยามหมู่บ้านศิลปินแห่งนี้ว่า มันคือการออกแบบการผจญภัยสู่การสร้างผลงานด้วยตัวเอง เพราะเธอได้เข้าร่วมทั้งกิจกรรมต่างๆ เวิร์กช็อป และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันระหว่างตัวเธอกับศิลปิน

เมื่อเวลาผ่านไปจนต้องนำประสบการณ์และเครื่องมือบางอย่างมารังสรรค์ผลงานสุดท้าย ทั้งราธา พี่อ้อม และพี่ชัยต่างคิดตรงกันว่า ราธาควรทำ Performance Art
“ฉันยอมรับว่าฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน และฉันก็กลัวมากว่า จะมีคนดูฉันตลอด 6 นาทีจริงๆ เหรอ ซึ่งโชคดีมากที่ทุกคนให้การสนับสนุนและเยียวยาฉัน จนฉันเติบโตจากข้างในและทำให้ฉันกล้าเปิดเผยตัวเองออกมา” ราธาเล่า
การเปิดเผยตัวเองเพื่อทำการแสดงชิ้นนี้ของราธาขยายใหญ่ขึ้น เมื่อทีมชักชวนทั้งราธาและบอสมาร่วมงานกัน ซึ่งบอสเป็นศิลปินอิสระที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่บ้านศิลปินในรอบนี้ ทั้งสองคนมีโอกาสได้ปะทะสังสรรค์ผ่านกิจกรรมในหมู่บ้าน รวมถึงการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันผ่านผลงานของทั้งคู่ และความสนใจร่วมกัน
“ตอนที่ผมอ่านกวีชิ้นแรกของราธาคือ เรื่องที่เธอไปนวดที่ร้านนวดแผนไทย ผมรู้สึกว่ามันสนุกและเป็นการสำรวจอะไรใหม่ๆ พอผมได้อ่านงานหลายๆ ชิ้นและได้เห็นราธาซ้อมเต้น ซ้อมเคลื่อนไหวร่างกาย พี่ชัยก็บอกให้ผมลองถ่ายฟุตเทจเก็บไว้ ผมเลยรู้สึกว่าภาพทั้งหมดมันสามารถเอามาต่อยอดได้อีก” บอสอธิบาย
บอสบอกว่า จากที่ราธาตีความกวีของตัวเองและนำมาสื่อสารเป็นการแสดง Performance Art มันเหมือนเห็นยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่เขาอยากสำรวจข้างใต้ภูเขานั้นว่า มันมีอะไร และสามารถทำอะไรกับมันได้อีก โดยนำมาหลอมรวมกับบรรยากาศธรรมชาติในชุมชนโดยรอบ มันจึงกลายเป็นวิดีโอที่เอาสามสิ่งที่ว่ามารวมกันคือ กวีของราธา การเคลื่อนไหวร่างกายที่ตีความผ่านงานเขียนเหล่านั้น ซึ่งมาจากชุดประสบการณ์ส่วนตัวของเธอ
และที่สำคัญที่สุดคือ ธรรมชาติ ที่เปรียบเสมือนแม่ของพวกเราทุกคน
“เราถ่ายกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ซึ่งฉันไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ที่ต้องมาถ่ายในทุ่งนา โคลน ก็แค่คิดว่าฉันคงไปทำอะไรสักอย่าง แต่ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง ฉันจึงนึกย้อนไปในวันที่บอสนำไอเดียมาเล่าให้ฉันฟังว่า ธรรมชาติมันเหมือนสัมผัสของแม่ ซึ่งคือแม่ที่แท้จริงของเรา การตีความของบอสเลยทำให้ฉันนึกคิดย้อนไปอีกว่า แม่แสดงความรัก และความรักเหล่านั้นมีข้อความอะไรบ้าง นั่นจึงเป็นการตีโจทย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายมาก” ราธาเล่า
“ผมเรียนรู้จากราธาเยอะมากนะ การแสดงของเธอมีผลกับผมมากๆ ในการถ่ายครั้งนั้น ซึ่งผมขอบคุณมากๆ ที่ราธาเข้าใจไอเดียของผม ผมอยากสื่อสารว่าธรรมชาติให้สัมผัสต่างๆ ที่ช่วยเยียวยาเหมือนแม่ ซึ่งก็เข้ากับธีมของหมู่บ้านศิลปินเป็นอย่างมาก” บอสสรุป
รัฐ ชุนหรักษ์โชติ
Pattarine Fontaine
Aglaia Docufilms

มาทำความรู้จักบอสเพิ่มอีกสักนิด ไปพร้อมๆ กับพี่เชอรี่ เมนเทอร์ส่วนตัวที่เป็นทั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจและที่ปรึกษา
ทั้งสองคนพบกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส พี่เชอรี่แต่งงานสร้างครอบครัวไปพร้อมๆ กับทำนิตยสารเพื่อสื่อสารเรื่องราวให้คนไทยในต่างแดน ส่วนบอสก็เป็นนักศึกษาปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรมที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่ คนสองวัยเจอกันในนิทรรศการแห่งหนึ่ง ก่อนที่บอสจะมีพี่เชอรี่เป็นเมนเทอร์ในการให้คำแนะนำเส้นทางชีวิตของเขา
“มันก็จะมีคำหนึ่งที่ผุดขึ้นมาว่า บอสน่าจะเป็น People Architecht คือ การสร้างคน การสร้างชุมชน ซึ่งเขาก็โอเค ก็เลยไปแนะนำว่าเขาชอบถ่ายภาพ ชอบสัมภาษณ์คน ทำวีดีโอเล็กๆ ทำไมไม่ไปเรียนให้มันเป็นเรื่องเป็นราว เขาก็เลยไปเรียนต่อเป็นคอร์สสั้นๆ ก่อนจะเรียนต่อปริญญาโทตามคำแนะนำของอาจารย์” พี่เชอรี่เริ่มเล่า
“คำว่า People Architect คือ เราก็ยังสร้าง เราสร้างไม่ใช่การสร้างบ้าน สร้างตึก สร้างคอนกรีต แต่เป็นการสร้างคนโดยการใช้สื่อเป็นตัวนำพา เป็นแพลตฟอร์มให้คนไปอยู่บนนั้นและสร้างคนด้วยมุมมองของเราภาพของเรา Visual ที่เราเห็นเขา เราก็ให้เขาเห็นมุมมองที่ดีที่สุดสำหรับเขา” บอสเสริม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นที่มาของการเปิดบริษัทรับผลิตสื่อในชื่อ Aglaia Docufilms ที่มีไอเดียในการสร้างสรรค์งานแต่ละชิ้นเหมือนเป็น “สปอตไลท์” สำหรับคนธรรมดาที่จะเล่าเรื่องให้พวกเขากลายเป็นคนพิเศษ และบอกโลกว่าเรื่องราวของพวกเขานั้นสำคัญต่อโลกใบนี้


ทักษะการเล่าเรื่องผ่านภาพเคลื่อนไหวจึงเป็นเครื่องมือหลักๆ ในการทำงานครั้งนี้ ซึ่งอย่างที่เล่าไปก่อนหน้า พี่เชอรี่ในฐานะผู้เฝ้ามองและให้คำแนะนำบอสในการพัฒนาชิ้นงาน Another Source of Intimacy จึงเห็นว่า การลดตัวตนบางอย่างลงไป อาจเป็นวิธีที่ได้ผลเพื่อให้เราค้นพบตัวตนใหม่
“ช่วงที่เราเตรียมงานกัน พี่ให้ไอเดียบอสไปนิดเดียวว่า เธอไม่ได้เป็นตากล้อง แต่เป็นผีเสื้อ ถ้าผู้หญิงคนนึงถือดอกไม้ดอกหนึ่งที่กำลังที่จะเหี่ยวเฉา หรือว่าผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ ไม่ต้องกลัวที่จะไปแตะเขา ไปแตะเขาด้วยปีกผีเสื้อ พอได้ตรงนี้มา พี่ว่าอันนี้แหละมันคือการลดตัวตน เพราะว่าบางครั้ง คนทำหนังมันจะมีอัตตาเยอะ แต่เมื่อไหร่ที่เราลดอัตตา เราไม่ได้มีเครื่องมืออะไร มันจะได้งานที่ออกมาอีกแบบ
“จากที่พี่เห็นงานนี้แล้ว พี่มีความรู้สึกว่าบอสนำเอาธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตัวราธา แล้วมันจะเกิดการเยียวยาขึ้นมา โดยที่ศิลปินสองคนเขาจะส่งต่อและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้บาง พี่ก็สึกว่าธรรมชาติมาเป็นส่วนหนึ่งของเขา แล้วเขาก็มาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มันเกิดการหลอมรวมกันของมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งพี่คิดว่ามันน่าจะเป็นสาระสำคัญในโลกปัจจุบัน เพราะทุกคนจะกลายเป็นคนสังคมเมือง แต่การได้กลับมาอยู่กับธรรมชาติ บางทีมาแตะ เหยียบหญ้าโดยที่ไม่ใส่รองเท้า มันเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้น” พี่เชอรี่สรุป


สุธีรา ฝั้นแก้ว
อายตนะ-การเกิดและการดับ

พี่อ๊อด “ทำทุกอย่าง” ในหมู่บ้านศิลปินแห่งนี้ ตั้งแต่เป็นศิลปินที่นำผลงานมาจัดแสดง ดูแลความเรียบร้อยและติดตั้งผลงาน เป็นนักแสดงในวันเปิดนิทรรศการ และสอนมวยไทยในหมู่บ้านด้วยเอ้า!
พี่อ๊อดเริ่มเล่าว่า หลังจากเรียนจบศิลปะ เขาพบเจอกับวิกฤตชีวิตบางอย่างที่ทำให้เขาเลิกวาดรูป ก่อนจะไปทำงานประจำและเกี่ยวข้องกับวงการกาแฟ ในช่วงเวลาที่พี่อ๊อดยังต้องทำงาน ก็ตามประสาคนทำงานศิลปะที่หัวใจเขายังมีความเป็นศิลปินอยู่ในสายเลือด เวลาว่างๆ พี่อ๊อดก็สเก็ตช์งาน เขียนไอเดีย จนสามารถแบ่งเวลามาทำงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้บ้าง
เมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 พี่อ๊อดจึงมีเวลามากขึ้นเนื่องจากการปิดเมือง พี่อ๊อดมีทักษะอีกหนึ่งอย่างที่ติดตัวมาในฐานะลูกหลานคนเมืองคือ การฟ้อนเจิง เขาจึงนำศาสตร์ทั้งสองมารวมกัน สื่อสารเป็นชิ้นงานนามธรรมที่ใช้ทั้งการสาด เท ลาดสี รวมกับลีลาการฟ้อนเจิงมาประยุกต์ในการสร้างสรรค์ผลงาน
ทั้งหมดนี้ ทำเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับตัวตนข้างใน จึงเป็นงานที่ตอบคำถามเหล่านั้น


“งานชุดนี้ที่ผมทำที่แสดงอยู่ก็ตอบสนองตัวเอง ตอบสนองสภาวะจิตข้างในของตัวเองลึกๆ แล้วมันเกิดการตั้งคำถาม ระยะเวลาที่มันผ่านมาที่มันเจอวิกฤตอะไรต่างๆ เจอโควิด เจอการตกงาน ไม่มีงานทำ มันเป็นคำถามที่ตั้งขึ้นมาว่าชีวิตเรามันต้องการอะไรกันแน่
“ระหว่างทำงานชุดนี้ ทำให้เราได้คิดอะไรบางอย่าง ให้เราได้ตกผลึกอะไรบางอย่างว่า ชีวิตคนเรามันไม่ได้มีความสุขไปตลอด มันมีความสุขและความทุกข์ มันมาเป็นคู่ รู้สึกตอนนั้นนะว่าทุกอย่างมันมาเป็นคู่ มีดีมันก็มีไม่ดี มีสุขมันก็มีทุกข์ แล้วผมก็ชอบขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าตอนเย็น ดูพระอาทิตย์ตกดิน ตอนเย็นพระอาทิตย์ตกดิน ตอนเช้ามันก็ขึ้นมาใหม่นี่หว่า มันอยู่ร่วมกัน เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเอาสองสิ่งนี้ให้มันอยู่ร่วมกันยังไงให้เรามีความสุข เรารู้ว่ามันทุกข์เราก็ไม่ต้องไปทุกข์กับมัน พยายามเตือนสติตัวเอง” พี่อ๊อดอธิบาย
ถ้าใครที่พอเขาใจตัวอักขระล้านนา อักษรสองตัวบนชิ้นงานแรก-การเกิดและการดับ นั้นอ่านว่าะ “กะ” ที่หมายถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย กับ “ดะ” ที่แปลว่าตาย พี่อ๊อดทำงานชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อเตือนใจว่า มนุษย์ทุกคนไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฎจักรนี้ได้ ส่วนอีกชิ้นงานหนึ่ง-อายตนะ พี่อ๊อดใช้อายตนะ 6 หรือช่องทางรับรู้ระหว่างกายและใจตามหลักพุทธศาสนาคือ ตา จมูก ปาก ลิ้น กาย และใจ เป็นเครื่องเตือนสติในการใช้ชีวิต
“ผมทำงานฟ้อนเจิงแล้วก็เปลี่ยนจากดาบกลายเป็นพู่กัน ชุบสีแล้วก็ฟ้อนไปด้วย หายใจเข้าออก แล้วมันก็แปรรูปตวัดต่างๆ แล้วเราก็นึกถึงความรู้สึกที่อยู่ข้างในของเรา แล้วก็เขียนมันออกมาเป็นตัวเมือง ตัวล้านนา แล้วก็มีรูปมือคือการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวก็คือการใช้ลมหายใจ ระลึกรู้ถึงลมหายใจสั้น หายใจเข้าสั้น หายใจออกยาว ช่วงไหนที่เราหายใจสั้น แสดงว่าเรามีความทุกข์ ให้เราหายใจยาวขึ้น ร่างกายเราก็จะมีความสุขมากขึ้น” พี่อ๊อดสรุป

วัลลภ หาญสันเทียะ
The People

พี่วัลลภเคยร่วมงานกับ Studio 88 Artist Residency มาแล้วจากการจัดแสดงผลงานในนิทรรศการ Art for Air เพื่อสะท้อนประเด็นฝุ่นพิษ PM2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่จนเกิดการเชื่อมต่อกัน ทำให้ได้มีโอกาสร่วมงานกันเรื่อยๆ มาจนถึงนิทรรศการ Identity of Monograph ในครั้งนี้
“งานชิ้นนี้คือการฝึกตัวเอง” พี่วัลลภเริ่มบอกเราแบบนี้
ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต พี่วัลลภใช้โอกาสฝึกตัวเองในการวาดรูป 1 รูปทุกวัน เพื่อคุยกับตัวเองโดยไม่แก้ไขใดๆ เลย โดยมีฉากหลังเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองและสังคมคือ การรัฐประหารในปี 2557 มาจนถึงการระบาดของโควิด-19 และการชุมนุมขับไล่รัฐบาลในปี 2563
“เป็นปรากฏการณ์ที่ผมก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน ทั้งชีวิตเลย” พี่วัลลภว่า


“ผมเห็นการต่อสู้ของประชาชนกับรัฐบาล การเรียกร้องบางอย่างที่มีสัญลักษณ์ 3 นิ้วหรืออะไรก็ตาม แล้วก็เห็นการแย่งชิงอาหาร สิทธิที่ไม่เท่าเทียมในเรื่องของความเป็นอยู่ ผมเห็นคนต่อแถวเพื่อที่จะรอข้าวกล่องของคนที่มาบริจาค บางคนต้องเดินจากกรุงเทพฯ กลับไปอีสานเป็นระยะทางบางที 1-200 กม มันเห็นแล้วมันเห็นความเหลื่อมล้ำบางอย่าง มันเห็นความโกลาหล ก็เลยถ่ายทอดงานชุดนี้มา”
การฝึกฝนให้ตัวเองมีวินัยมันเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญในการสร้างผลงานชิ้นนี้คือ การคุยกับตัวเองที่ทำให้พี่วัลลภได้คำตอบบางอย่าง
“รูปพวกนี้ผมไม่ได้เขียนเพื่อใครเลย ผมไม่ได้เขียนว่าผมจะต้องแสดงงาน ผมแค่อยากคุยกับตัวเอง ผมอยากจะฝึกตัวเองให้มีวินัย ฝึกตัวเองให้รู้จักคิด ฝึกในช่วงเวลาที่ยากลำบากแล้วคนยังทำงานศิลปะอยู่ ก็ถามตัวเองว่าวันนี้ถ้าคุณไม่ได้เขียนรูป คุณจะรู้สึกดิ้นตายไหม ก็ถามตัวเองแล้วก็มันก็ได้คำตอบว่า ผมรู้ว่าผมจะต้องทำอะไร แล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าผมต้องแคร์โลกนี้ เหมือนผมมีลูกคนนึงที่ผมคลอดออกมา ผมรู้สึกรักเขา แต่ถ้าคนอื่นไม่รักก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็ลูกเรา แล้วผมก็มีความสุข แล้วผมก็เห็นผลสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน แล้วผมจะไม่แก้ไขมัน แล้วมันเป็นกำลังใจเล็กๆ ของผม แล้วก็ทำให้ผมได้ทำสิ่งที่มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ” พี่วัลลภสรุปคำตอบนั้น

ซึ่งถ้าใครติดตามพี่วัลลภมาบ้าง เขาคือศิลปินที่มีผลงานโดดเด่นอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่ง อดีตนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เคยช่วยงานอาจารย์ทวี รัชนีกรอยู่สั้นๆ และทันในช่วงเวลาที่อารยา ราษฎร์จําเริญสุข อ่านหนังสือให้ศพฟัง ช่วงชีวิตนั้นส่งผลให้พี่วัลลภสนใจการทำงานแนวคิด ซึ่งหล่อหลอมให้ “ตัวตน” ของพี่วัลลภเป็นอย่างที่เราเห็นนี้
แต่ที่แน่ๆ พี่วัลลภไม่ได้เรียกตัวเองว่า “ศิลปิน”
“คำว่าศิลปิน มันเป็นชะตากรรมที่คนอื่นเรียกเรา คนอื่นมอบให้เราแล้วเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับชะตากรรมแบบนั้น เพราะว่ามันเป็นคนอื่นที่เขาให้ตำแหน่งเรา แล้วก็บอกว่าเราเป็นศิลปิน แต่ผมก็ยอมรับด้วยชะตากรรมนั้นแล้วก็ทำให้มันดีที่สุด
“ผมเรียกตัวเองว่ามนุษย์คนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาเหมือนคนทั่วไป ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีศักดินา ศักดิ์ศรี หรืออะไรไปมากกว่าคนอื่น เพราะผมก็คือมนุษย์ ทุกคนก็เป็นพี่น้องกัน ทุกคนเป็นธรรมชาติที่มอบให้ก็คือเรามีความเชื่อมโยง พี่น้องเผ่าพันธุ์ แล้วเราก็ได้เรียนรู้ แล้วสิ่งหนึ่งที่ผม ผมเกิดมา ผมได้กำลังใจจากคนที่เขาสร้างบางสิ่งบางอย่างแล้วเขาจากไปแล้ว แล้วก็ยังอยู่ แล้วสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมก็อยากจะทำบางอย่างเพื่อคนรุ่นต่อไปอาจจะมีชะตากรรมคล้ายผม หรือมีชีวิตคล้ายผม ก็อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ไม่มากก็น้อย ก็แล้วแต่” พี่วัลลภว่า

บทสรุปของหมู่บ้านศิลปินในธีม Evolving Identities ในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่ผลงานปลายทางที่ศิลปินได้สร้างสรรค์ผ่านช่วงเวลาการพำนักอาศัย หรือการค้นหาตัวเองเพียงเท่านั้น หากแต่พวกเขายังได้ทำความเข้าใจกับตัวเองผ่านการสำรวจตัวตนที่ยังสามารถค้นหา และพัฒนาฝีมือ และเรียนรู้ตัวตนข้างในของพวกเขาต่อไปได้ไม่สิ้นสุด
เมื่อการค้นหาตัวตนของมนุษย์ยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ Studio 88 Artist Residency จึงขอเชื้อเชิญศิลปินจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ มุมมอง และความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะและอีกมากมายเข้ามาร่วมโครงการศิลปินในพำนักผ่านธีมนี้อีกครั้งในอนาคต
ติดตามรายละเอียดการรับสมัครได้บนหน้าเว็บไซต์และแฟนเพจ
Contributors
zhift. | Shift and Change

