เหตุการณ์จลาจลที่สโตนวอลล์ หรือ Stonewall Riot ที่บาร์ Stonewall Inn เมื่อปี 1969 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์สำคัญที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิ LGBTQ+ ทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของขบวนการขับเคลื่อนเพื่อความเท่าเทียมที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ทว่าเรื่องราวเบื้องหลังการประท้วงที่กลายเป็นตำนานนี้มีความซับซ้อนและมีหลากหลายแง่มุมที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกมุมมองจาก Mark Segal หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Gay Liberation Front ในนิวยอร์ก และเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ในคืนนั้น ซึ่งได้มาแบ่งปันประสบการณ์และข้อเท็จจริงในบทสนทนาสุดเข้มข้นกับ David McGillivray นักแสดงและนักเขียนบทจาก Attitude UK โดยบทความชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2023 เพื่อเป็นการรำลึกถึงและทำความเข้าใจเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล
McGillivray เปิดประเด็นด้วยคำถามเกี่ยวกับตำนาน Stonewall ที่ถูกเล่าขานกันมา เช่น แดร็กควีนใช้กระเป๋าฟาดตำรวจ Segal ตอบอย่างหนักแน่นว่า ไม่มีใครสามารถรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ทั้งหมด เหตุการณ์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใน Stonewall Inn เท่านั้น แต่ลุกลามไปทั่วถนน Christopher Street ซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางเกินกว่าที่คนคนเดียวจะเห็นทุกอย่างได้หมด
เขายืนยันว่าไม่มี “อิฐก้อนแรก” ที่ถูกขว้างอย่างที่บางคนกล่าวอ้าง และตำนานเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ Judy Garland ที่กระตุ้นให้เกิดการลุกฮือก็เป็นเรื่องเหลวไหล เพราะการลุกฮือเกิดจากความโกรธแค้นต่อการกดขี่ ไม่ใช่การไว้อาลัยใคร

Courtesy of History
ผู้ที่อยู่รอดและผู้ที่ไม่มีอะไรจะเสีย
Michael Musto คอลัมนิสต์ของ Village Voice เคยกล่าวว่ามีคนเป็นพันคนอ้างว่าอยู่ในเหตุการณ์ ทั้งที่บาร์จุคนได้ไม่กี่ร้อย Segal ยืนยันว่าถูกต้อง สถานที่สามารถจุคนได้เพียง 200 คน และผู้ที่มีครอบครัวหรือหน้าที่การงานดีมักจะรีบหนีไป ส่วนผู้ที่อยู่รอดและเผชิญหน้ากับตำรวจคือกลุ่มคนที่ “ไม่มีอะไรจะเสีย” ได้แก่ เด็กเร่ร่อน (อย่าง Segal ในขณะนั้น), คนข้ามเพศ (ในยุคนั้นเรียกว่าแดร็กควีน), เกย์ชายที่มีกิริยาอ่อนช้อย, เลสเบี้ยนที่มีลักษณะเข้มแข็ง และคนผิวสี กลุ่มคนเหล่านี้รวมตัวกันโดยไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอิทธิพลเหนือกว่า
สาเหตุของการบุกค้น Stonewall Inn ถูกตั้งคำถามมาโดยตลอด แม้จะอ้างว่าไม่มีใบอนุญาตจำหน่ายสุรา แต่ Segal ชี้ว่าบาร์แห่งนี้เป็นของมาเฟีย และในสมัยนั้น การให้บริการแก่เกย์เป็นที่รู้กันว่าจะทำให้ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในช่วงนั้นใกล้จะมีการเลือกตั้ง ตำรวจมักจะ “กวาดล้างเมือง” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
Segal เล่าว่าการบุกค้นครั้งนั้นแตกต่างจากปกติที่ตำรวจมักจะเข้ามาเก็บเงินแล้วจากไป แต่ครั้งนี้ตำรวจใช้ความรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุบทำลายบาร์ ขว้างปาขวด และผลักผู้คนติดกำแพง
เมื่อตำรวจเข้ามา ผู้ที่ถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงที่สุดคือแดร็กควีนหรือใครก็ตามที่มีภาพลักษณ์เป็นเกย์อย่างชัดเจน Segal เองซึ่งดูเหมือน “เด็กข้างบ้าน” จึงไม่ถูกเพ่งเล็งมากนัก และเขาเชื่อว่าแดร็กควีนมี “ปากกล้า” มากกว่าคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเหตุผลที่พวกเขาถูกปล่อยตัวเป็นกลุ่มสุดท้าย

จาก Stonewall สู่ Pride
หลังจากการปะทะ Segal ได้รับชอล์กจาก Marty Robinson และถูกขอให้เขียนคำว่า “Tomorrow night Stonewall” ทั่วถนน Christopher Street ข้อความนี้ไม่ใช่แค่การแจ้งข่าว แต่เป็นการเรียกร้องให้ผู้คนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อประท้วงในคืนถัดไป Segal ย้ำว่า Robinson คือผู้มีวิสัยทัศน์ที่อยู่เบื้องหลังการรวมตัวครั้งนี้
Segal เล่าว่า Stonewall ไม่ใช่แค่เหตุการณ์คืนเดียว แต่ลากยาวไปเป็นปี และเขาเข้าร่วมทุกคืนจนถึงวัน Pride ครั้งแรก เขาเชื่อว่าการบุกค้นของตำรวจในคืนนั้น เป็นการรวมพลังของกลุ่มคนที่ถูกกดขี่ให้ต่อสู้กับ “ศัตรู” ร่วมกัน คือตำรวจ ซึ่งเป็นตัวแทนของการกดขี่ในขณะนั้น
ในภาพยนตร์ “Stonewall” ที่ออกฉายในปี 2015 ซึ่งมีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก Segal แสดงความไม่พอใจหลายประการ โดยเฉพาะการที่ตัวละครหลักซึ่งเป็นคนผิวขาวถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นผู้ขว้างอิฐก้อนแรก ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีการขว้างอิฐเกิดขึ้น และคนที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ขว้างอิฐอย่าง Marsha P. Johnson ก็ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุในตอนต้นด้วยซ้ำ
Segal ยังแก้ไขความเข้าใจผิดที่ว่าการเคลื่อนไหว Pride ในนิวยอร์กพัฒนามาจากกลุ่มเยาวชนเกย์ เขายืนยันว่าผู้ริเริ่มแนวคิด Gay Pride มี 4 คน ได้แก่ Craig Rodwell, Fred Sergeant, Ellen Broidy และ Linda Rhodes โดย Ellen Broidy เป็นผู้เขียนปฏิญญา และ Pride ครั้งแรกในนิวยอร์กในปี 1970 ไม่ได้ใช้ชื่อว่า Gay Pride แต่เป็น Christopher Street Liberation Day ซึ่งเป็นการเดินขบวนไม่ใช่ขบวนพาเหรด

มรดกที่อยากทิ้งไว้: มากกว่าแค่ Stonewall
เมื่อถูกถามว่าเขาต้องการแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Stonewall หรือไม่ Segal ในวัย 71 ปี ตอบว่าเขา “เติบโตเป็นผู้ใหญ่” แล้ว ในช่วงแรกเขารู้สึกโกรธที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในหนังสือเกี่ยวกับ Stonewall แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาตระหนักว่าบางครั้งการแก้ไขผู้อื่นก็เหมือนกับการทำลายมรดกเดียวที่พวกเขามี
เขากล่าวว่าเมื่อเขาเสียชีวิต เขาไม่ต้องการถูกจดจำในฐานะผู้ร่วมเหตุการณ์ Stonewall เพราะในคืนนั้นเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของฝูงชน สิ่งที่เขาภาคภูมิใจและเชื่อว่ามีความสำคัญต่อโลกมากกว่าคือการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ Gay Pride และการทำงานร่วมกับผู้ว่าการ Milton Shapp ในปี 1975 ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งหน่วยงานประสานงาน LGBT แห่งแรกของประเทศ และมติ LGBT Pride ที่ลงนามโดยผู้ว่าการเป็นครั้งแรก สิ่งเหล่านี้คือรากฐานของคณะกรรมาธิการและหน่วยงานประสานงาน LGBT ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นมรดกที่เขามองว่ามีความหมายมากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ Stonewall เพียงอย่างเดียว
อ้างอิง: Attitude UK