แม้ฮ่องกงจะอยู่ภายใต้บรรยากาศการเมืองที่กดดันยาวนาน แต่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 เป็นต้นมา คนส่งอาหารในเมืองนี้ได้ผนึกกำลังกันหยุดงานประท้วง Keeta แพลตฟอร์มส่งอาหารสัญชาติจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนขึ้นแท่นครองตลาดในเวลาเพียงปีเดียว

Keeta ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Meituan ยักษ์ใหญ่ด้านบริการตามความต้องการจากจีนแผ่นดินใหญ่ เริ่มให้บริการในฮ่องกงเมื่อพฤษภาคม 2023 และสามารถโค่น Foodpanda และขับไล่ Deliveroo ออกจากตลาด ด้วยกลยุทธ์ “เผาเงิน” อย่างการแจกคูปองสูงสุด 300 ดอลลาร์ฮ่องกง บริการส่งฟรีให้ผู้ใช้งานทุกคน และระบบ “รับประกันความตรงเวลา” ที่ให้คูปองชดเชยหากส่งล่าช้า

แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้กลับเป็นระบบบริหารแรงงานที่ใช้เทคโนโลยีอัลกอริธึมบีบรีดไรเดอร์อย่างหนัก โดยเฉพาะระบบ “K Go” ที่ลดค่าตอบแทนของไรเดอร์ลง 20–30% เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการได้รับงานก่อน และระบบ “Grab the Task” ที่บีบให้คนขับต้องเปิดแอปจับงานตลอดเวลาแม้ขณะขับขี่ ซึ่งก่อให้เกิดอุบัติเหตุหลายกรณี

คาน ไรเดอร์วัย 26 ปี เล่าว่า เขาเคยได้รับค่าจ้างเฉลี่ย 50 ดอลลาร์ต่อออเดอร์ในปี 2023 แต่เมื่อเข้าร่วม “K Go” ตอนนี้เหลือเพียง 25 ดอลลาร์ต่อออเดอร์ และหากไม่เข้าร่วม เขาจะไม่ค่อยได้งาน โดยเฉพาะงานระยะไกลที่ให้ค่าตอบแทนสูง เขาเคยทำได้ 50–60 ออเดอร์ต่อวัน ตอนนี้เหลือเพียง 13–15 ออเดอร์เท่านั้น

แรงงานไรเดอร์บางส่วนเรียกสภาพการทำงานนี้ว่า “Involution (內捲)” หรือการที่ผู้คนต้องแข่งขันกันอย่างสุดโต่งเพื่อความอยู่รอดในระบบที่ไม่ขยายตัว ทั้งยังมีสถิติจากกลุ่มสิทธิแรงงานที่เผยว่าในปี 2024 มีไรเดอร์ได้รับบาดเจ็บจากงานถึง 19 ราย แต่ไม่ได้รับการชดเชยใด ๆ เนื่องจากถูกจัดสถานะเป็น “ผู้ประกอบอาชีพอิสระ”

ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา การหยุดงานเกิดขึ้นทั่วฮ่องกง เช่นที่ Tsuen Wan, Kowloon City, Tin Shui Wai, Yuen Long และย่าน Central หลายวันติดต่อกัน คนส่งอาหารออกมาเรียกร้องให้ Keeta ยกเลิกระบบ “K Go” และ “Grab the Task” ปรับขึ้นค่าแรง และทำสัญญาจ้างแรงงานอย่างเป็นธรรม

แม้รัฐบาลฮ่องกงให้คำมั่นว่าจะออกระเบียบใหม่เพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานส่งอาหาร และตั้งกลุ่มเจรจา 3 ฝ่ายระหว่างภาครัฐ แพลตฟอร์ม และแรงงาน แต่แรงงานกลับอยู่ในสถานะต่อรองที่อ่อนแอ หลังการปราบปรามสหภาพแรงงานภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (NSL) ตั้งแต่ปี 2020 รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาในภาคอาหาร

ปัจจุบัน Keeta เริ่มขยายสู่ซาอุดีอาระเบียและบราซิล โดยยังไม่มีใครรู้ว่าโมเดลทางการตลาดและระบบจัดการแรงงานที่กดขี่นี้ จะได้รับการตอบรับอย่างไรในประเทศนอกเอเชีย

อ้างอิง: GlobalVoices
ภาพ: South China Morning Post